บทความ

10อาชีพทำรายได้สูงสุด

ในความเป็นจริงแล้วผู้คนหรือ นักศึกษา ส่วนใหญ่ที่กำลังเรียนหรือจบการศึกษาไปแล้วก็ล้วนอยากจะทำงานในอาชีพที่มีความสำคัญ มีความท้าทายกันทั้งนั้น และแน่นอนว่า รายได้ก็ต้องดีด้วย เมื่อไม่นานมานี้ US News & World ได้รายงานการจัดอันดับอาชีพ ที่ทำรายได้ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา 10 อันดับ ซึ่งแน่นอนว่า อาชีพเหล่านี้ ทำเงินกันเป็นหลักแสนดอลล่าร์สหรัฐต่อปีเลยทีเดียว 10 อันดับที่ว่ามีอะไรบ้าง และมีรายได้ขนาดไหน ไปติดตามกัน 1. วิสัญญีแพทย์ หรือหมอวางยาสลบ  มีรายได้เฉลี่ยประมาณปีละ 258,100 ดอลล่าร์สหรัฐ นับว่าเป็นอาชีพที่ทำรายได้ดีเป็นอันดับที่ 1 หน้าที่ของวิสัญญีแพทย์ก็คือ ให้ยาเพื่อทำให้คนไข้สลบ หรือหมดความรู้สึก เพื่อให้หมอผ่าตัดทำการผ่าตัดคนไข้ได้สะดวก 2. ศัลยแพทย์ หรือหมอผ่าตัด  มีรายได้เฉลี่ยปีละ 247,520 ดอลล่าร์สหรัฐ แน่นอนว่า งานของศัลยแพทย์นั้นเป็นงานที่หนัก ต้องทำการผ่าตัดร่างกายของคนไข้ ทั้งแก้ไขการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ทั้งรักษาโรค และความผิดปกติต่าง ๆ ศัลยแพทย์นี้ ก่อนจะทำหน้าที่ได้ ต้องผ่านการฝึกอย่างหนัก หลังเรียนจบแพทย์แล้ว ก็ต้องศึกษาต่อด้านการผ่าตัดเพิ่มอีกหลายปี จนเกิดความเชี่ยว

งานพิเศษ

1.การไม่ Safe Sex อายุเฉลี่ยของการมี สัมพันธ์ ครั้งแรกของ วัยรุ่น ไทย จากเดิมอายุ 18-19 ปี ลดลงมาเหลือที่ประมาณ 12-13 ปี (น่ากลัวมาก) ดังนั้นถ้าคิดจะรักสนุก ก็ต้องรู้จักป้องกันด้วย ใส่ถุงยางอนามัยให้เรียบร้อย เพราะหากไม่ปฏิบัติให้ถูกวิธี อาจก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย ทั้งท้องตอนที่ยังไม่พร้อม ทั้งโรคติอต่อทางเพศสัมพันธ์และ ปัญหาอีกเพียบเช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย เอดส์ กามโรค หนองใน และต้องพลาดอะไรหลายๆอย่างในชีวิตไปเลย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในประเทศไทยว่า ปัจจุบันมีจำนวนผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์ต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน เพิ่มขึ้นมากจาก 29 % ในพ.ศ. 2550 เป็น 44 % ในพ.ศ. 2554 และในจำนวนนี้ เป็นวัยรุ่นถึง 42% สะท้อนให้เห็นว่า วัยรุ่นไทยมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย นอกจากการป้องกันด้วยการใส่ถุงยางอนามัยแล้ว ก็ควรไปหาหมอเพื่อตรวจ สุขภาพ ด้วย 2.การใส่ Big Eye นี่เป็นอีก 1 เทรนด์ที่ฮิตกันมากในหมู่วัยรุ่น การใส่คอนแทคเลนส์ หรือ บิ๊กอาย ซึ่งมีราคาหลักร้อยไปจนถึงหลักพัน

พฤติกรรมผิดๆ

1.การไม่ Safe Sex อายุเฉลี่ยของการมี สัมพันธ์ ครั้งแรกของ วัยรุ่น ไทย จากเดิมอายุ 18-19 ปี ลดลงมาเหลือที่ประมาณ 12-13 ปี (น่ากลัวมาก) ดังนั้นถ้าคิดจะรักสนุก ก็ต้องรู้จักป้องกันด้วย ใส่ถุงยางอนามัยให้เรียบร้อย เพราะหากไม่ปฏิบัติให้ถูกวิธี อาจก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย ทั้งท้องตอนที่ยังไม่พร้อม ทั้งโรคติอต่อทางเพศสัมพันธ์และ ปัญหาอีกเพียบเช่น เชื้อไวรัส แบคทีเรีย เอดส์ กามโรค หนองใน และต้องพลาดอะไรหลายๆอย่างในชีวิตไปเลย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเอดส์ในประเทศไทยว่า ปัจจุบันมีจำนวนผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธุ์ต่อจำนวนประชากร 1 แสนคน เพิ่มขึ้นมากจาก 29 % ในพ.ศ. 2550 เป็น 44 % ในพ.ศ. 2554 และในจำนวนนี้ เป็นวัยรุ่นถึง 42% สะท้อนให้เห็นว่า วัยรุ่นไทยมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย นอกจากการป้องกันด้วยการใส่ถุงยางอนามัยแล้ว ก็ควรไปหาหมอเพื่อตรวจ สุขภาพ ด้วย 2.การใส่ Big Eye นี่เป็นอีก 1 เทรนด์ที่ฮิตกันมากในหมู่วัยรุ่น การใส่คอนแทคเลนส์ หรือ บิ๊กอาย ซึ่งมีราคาหลักร้อยไปจนถึงหลักพัน

เทคนิคการโน้ต

รูปภาพ
ตั้งแต่ประถมถึง มหาวิทยาลัย  หลายๆคนใช้วิธีฟังครูหรืออาจารย์บรรยายและจดสิ่งที่เขียนบนกระดานลงสมุดใช่มั้ยคะ แต่ทราบมั้ยคะว่า “การจดโน้ตที่ถูกต้อง” นั้นเป็นอย่างไร เวลาเห็นเพื่อนร่วมห้องที่เรียนเก่ง คงคิดว่าพวกเขากลับ บ้าน ไปคงขยันและมีความพยายามมากกว่าใครสินะ แต่ถ้าได้ถามพวกเขาเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนสอบ ก็จะได้คำตอบมาง่ายๆว่า “แค่อ่านหนังสือผ่านๆแล้วทบทวน” เพราะว่าพวกเขาใช้ “เทคนิคการจดโน้ตของคนเรียนเก่ง” นี่เอง ซึ่งการจดโน้ตนั้นไม่ได้ใช้วิธีพิเศษหรือจดสิ่งอื่นนอกเหนือจากบนกระดานอะไรเลย ช่วงนี้จะเห็นหลายคนพูดถึง เทคนิคการจดโน้ตของนักเรียนโทได ถึงแม้เนื้อหาในสมุดที่จดจะเหมือนกัน แต่การจดโน้ตของคนที่ทำได้กับไม่ได้นั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ลองดูภาพด้านล่างนี้นะคะ คนที่เรียนไม่เก่งจะจดในสิ่งที่อยู่บนกระดานลงในสมุด (A) คนที่เรียนไม่เก่งนั้น เพียงแค่จดสิ่งที่อาจารย์เขียนบนกระดานลงสมุดเท่านั้น ซึ่งแบบนี้ไม่ต้องเข้าเรียนก็ทำได้ ถึงแม้เวลาเรียนจะคิดเรื่องอื่นอยู่ตลอด แต่เมื่ออาจารย์เขียนบนกระดานก็แค่ลอกลงสมุด ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่ได้มีการนำข้อมูลใส่สมอง นอกจากนี้ถ้าม

8แอพช่วยให้ชีวิตชีวิตสบายเมื่ออยู่ต่างประเทศ

1 . AroundMe แอพนี้จะสามารถบอกให้เรารู้ว่า ตอนนี้เราอยู่ที่ไหนและรอบตัวเรามีร้านค้า ธนาคาร ปั๊มน้ำมัน โรงพยาบาล โรงหนัง ร้านอาหาร ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือ บาร์ ฯลฯ อะไรอยู่ใกล้ๆ บ้าง พร้อมทั้งยังบอกระยะทางและสามารถดูเส้นทางจากแผนที่ แถมยังมีที่อยู่และเบอร์โทรของสถานที่นั้นๆ ให้อีกด้วย ของดีฟรีๆ แบบนี้รีบโหลดด่วนเลยจ้า 2. Skype แอพสุดฮิตสำหรับการติดต่อสื่อสารกันข้ามประเทศแบบเรียลไทม์ ที่สามารถส่งได้ทั้งข้อความ เสียง และภาพเคลื่อนไหว แอพนี้จึงนิยมใช้คุยกันแบบเห็นหน้า (Video Call) เรียกได้ว่าคิดถึงคนที่ บ้าน เมื่อไหร่ก็ Skype คุยกันได้ทันทีแบบไม่มีค่าใช้จ่าย ขอแค่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตเท่านั้น หรือหากพ่อแม่ไม่ถนัดใช้เทคโนโลยี Skype ก็ยังสามารถใช้โทรหาโทรศัพท์ได้ทั่วโลก ในราคาประหยัดกว่าการโทรศัพท์ข้ามประเทศทั่วไป 3. Weather Channel การใช้ชีวิตต่างแดนนั้น สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามก็คือเรื่องของสภาพอากาศในแต่ละวัน โดยเฉพาะเมื่อคุณเลือกไปอยู่ประเทศที่มีอากาศแตกต่างจากเมือง ไทย ค่อนข้างมาก การเตรียมพร้อมล่วงหน้าเกี่ยวกับสภาพอากาศในแต่ละวัน จะช่วยให้ชีวิตคุณราบรื่นขึ้นอย่างแน่นอน แอพพยากรณ์อากา

คนญี่ปุ่นไม่เรียกฝนแค่ฝน

รูปภาพ
ในขณะที่นั่งหลบฝนอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อนๆ เคยสงสัยกันบ้างไหมคะว่าฝนแบบนี้คนญี่ปุ่นเขาเรียกกันว่าอะไร? anngle เองก็สงสัยเหมือนกันค่ะ พอลองมานั่งหาดู ปรากฏว่าคนญี่ปุ่นมีชื่อเรียกฝนเยอะมากค่ะแถมฝนแต่ละฤดูยังต่างกันออกไปอีกด้วย ในฐานะที่ตอนนี้ประเทศเราเองก็เข้าหน้าฝนมาแล้วเหมือนกัน เราลองมารู้จักฝนแบบต่างๆ ของคนญี่ปุ่นกันค่ะ ฝนในฤดูใบไม้ผลิ ฮารุชิงุเระ (春時雨) ฮารุชิงุเระเป็นชื่อเรียกฝน “ชิงุเระ (時雨)” ที่ตกในฤดูใบไม้ผลิค่ะ โดยฝนชิงุเระเป็นฝนที่ตกๆ หยุดๆ วนไปมาค่ะ เช่นถ้าเพื่อนๆ เห็นฟ้าแจ่มใสก็จะตกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยและพอเริ่มตกไม่นานก็จะหยุดค่ะ โคนุกะอาเมะ (小糠雨) โคนุกะอาเมะหรือฮิโซกะอาเมะ (ひそか雨) หรืออีกชื่อหนึ่งคือนุกะอาเมะ (ぬか雨) เป็นฝนที่ตกพรำๆ ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ซากุระอาเมะ (桜雨) ซากุระอาเมะหรือฮานะโนะอาเมะ (花の雨) เป็นฝนที่ตกในช่วงที่ดอกซากุระบานซึ่งก็คือช่วงปลายเดือนมีนาคมจนถึงช่วงต้นเดือนเมษายนนั่นเองค่ะ ชุนริน (春霖) ชุนรินเป็นชื่อที่ใช้เรียกช่วงที่สภาพอากาศอึมครึมในช่วงเดือนมีนาคมจนถึงเมษายนค่ะ หรือบางทีคนญี่ปุ่นจะเรียกอากาศแบบนี้ว่านางาอาเมะ (長雨) ซึ่งหมายถึงฝนที่ตกติด

วัตถุทางตะวันตก

รูปภาพ
เมื่อเร็วๆ นี้มีการค้นพบทับหลังจากปราสาทหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์ ที่พิพิธภัณฑ์เอกชนแห่งหนึ่งในรัฐซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้มีการปลุกกระแสการ “ทวงคืน” สมบัติของชาติขึ้นมาอีกหลังจากที่มีการพบว่าโบราณวัตถุของ ไทย ที่มีความสำคัญหลายร้อยชิ้นได้หายไปในช่วงปี พ.ศ 2508 และไปปรากฏในพิพิธภัณฑ์ต่างๆทั่วโลก ปราสาทหนองหงส์ โบราณวัตถุอย่างเทวรูปหรือทับหลังนั้นเมื่อแยกออกจากโบราณสถานแล้วจะขาดมูลค่าทางประวัติศาสตร์และขาดความเชื่อมต่อกับท้องถิ่น ในยุคของการล่าอาณานิคมการเก็บสะสมโบราณวัตถุเป็นเรื่องของสัญลักษณ์ทางการเมืองและอำนาจ แสดงถึงความศิวิไลซ์ของผู้เก็บและศึกษา โดยการศึกษาและจัดแสดงจะนำออกมาแสดงโดดๆ ในเชิงรูปลักษณ์ ความเก่าแก่ อัตลักษณ์ ความหมายในเชิงปรัชญาและศาสนา จากการที่มีนักเก็บสะสมมากขึ้นทั้งชนชั้นบนของเจ้าอาณานิคมตะวันตกและชนชั้นบนของที่อื่นๆซึ่งต้องการลอกเลียนแบบความศิวิไลซ์และโอ่อ่าในแง่พฤติกรรมการจัดแสดงและศึกษาประวัติศาสตร์โบราณผ่านวัตถุ ทับหลังปราสาทหนองหงส์ ทำให้เกิดความคิดที่จะจัดแสดงและเก็บรักษาของเก่าจากทั่วโลกให้เป็นระบบและนี่คือจุดเริ่มต้นของพิพิธภัณฑ์และวิชา